วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

SIBERIAN HUSKY


สุนัขพันธุ์ SIBERIAN HUSKY มีถิ่นกำเนิดในไซบีเรียน สุนัขพันธุ์นี้ถูกคัดเลือกพันธุ์ขึ้นโดยชาวพื้นเมืองที่เรียกว่า CHUKCHI เพื่อให้ทำหน้าที่ล่าสัตว์และเฝ้ายาม แต่ต่อมาถูกพัฒนาให้มีลักษณะของสุนัขลากเลื่อน ประมาณ คศ.1900 มีการแข่งขันสุนัขลากเลื่อน ALASKA โดยมีระยะทางถึง 400 ไมล์ สุนัขที่ชนะในการแข่งขันคือสุนัขพันธุ์ SIBERIAN HUSKY หลังจากนั้นกีฬาแข่งลูกสุนัขลากเลื่อนก็เป็นที่นิยมมากขึ้น สุนัขพันธุ์นี้ก็มักจะชนะอยู่เสมอ AKC. รับรองสุนัขพันธุ์นี้ในปี คศ.1930


มาตราฐานสายพันธุ์ อุปนิสัย : ฉลาดเป็นมิตร สุขุม สามารถทำงานร่วมกันเป็นฝูงได้


ส่วนหัว : มีขนาดปานกลางสมส่วนกับลำตัว หัวกะโหลกค่อนข้างกลม หัวกะโหลกระหว่างหูจะกว้าง และเรียวลงจรดตาทั้งสองข้าง


หู : มีขนาดปานกลางมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมปลายหูมน ใบหูหนา มีขนแน่นหูตั้ง


ตา : มีลักษณะเป็นรูปกลมรี อยู่หางกันพอประมาณ ตามีสีน้ำตาลเข้ม


ดั้งจมูก : มีมุมหักพอประมาณ


ปาก : ความยาวของปากมีขนาดใกล้เคียงกับความยาวของหัวกะโหลก ปากมีความกว้างพอประมาณ สันปากตรง โคนปากใหญ่ และเรียวลงจรดปลายจมูก ริมฝีปากตึง มีสีเข้ม


จมูก : มีสีดำ น้ำตาลเข้ม หรือชมพู


ฟัน : ขาวสะอาด แข็งแรง ขบแบบกรรไกร


ลำตัว : มีขนาดปานกลาง เส้นหลังตรงขนานกับพื้น ความยาวของลำตัวมากกว่าความสูงของลำตัวเล็กน้อย


คอ : มีความยาวปานกลาง มีลักษณะโค้ง ขณะเดิน หรือวิ่ง คอจะยืดไปข้างหน้า


ลำตัวส่วนหน้า : หัวไหล่ประกอบด้วยกล้ามเนื้อ แข็งแรง


อก : มีลักษณะแข็งแรง อกลึกจรดข้อศอก อกมีความกว้างพอประมาณ ไม่กว้างจนเกินไป


ขาหน้า : มองจากด้านหน้าขาหน้าทั้งสองข้างตรง ห่างกันพอเหมาะ มองจากด้านข้างข้อเท้าเอียงเล็กน้อย ท่อนขาตรง ความยาวของขาจากข้อศอกถึงพื้นจะมากกว่าความยาวจากข้อศอกถึงหัวไหล่เล็กน้อย เท้ามีลักษณะกลมรี นิ้วเท้าชิด เท้ามีขนหนาแน่น


ขาหลัง : ท่อนบนประกอบด้วยกล้ามเนื้อ มีกำลังมาก ข้อเท้าหลังแข็งแรง มองจากเท้าหลัง ขาหลังทั้งสองข้างตั้งตรงขนานกัน ห่างกันพอเหมาะ เท้ามีลักษณะกลมรีนิ้วเท้าชิด เท้ามีขนหนาแน่น


หาง : มีขนเป็นพวง หางมักจะยกสูงโค้งเล็กน้อย หางไม่บิดเอียงไปทางซ้ายหรือขวา


ขน - สี : ขนมีสองชั้น ขนชั้นในนุ่ม ขนชั้นนอกแข็งแนบชิดผิวหนัง ขนมีหลายสี ตั้งแต่สีดำหรือขาวล้วน ขนาด : เป็นสุนัขที่มีขนาดปานกลาง


น้ำหนัก : เพศผู้หนักประมาณ 45 - 60 ปอนด์ เพศเมียหนักประมาณ 35 - 50 ปอนด์


ส่วนสูง : เพศผู้สูงประมาณ 21 - 23.5 นิ้ว เพศเมียสูงประมาณ 20 - 22 นิ้ว


การเดิน - วิ่ง : มีความสง่างาม เคลื่อนที่ได้เร็ว ขณะวิ่งเท้าไม่บิด หรือปัด


ข้อบกพร่อง : หูใหญ่ หูตก หางม้วนมาก

ปอมเมอเรเนียน




ปอมเมอเรเนียนเป็นสุนัขพันธุ์เล็ก มีขนนุ่มปุกปุย มีหัวเป็นรูปลิ่ม หูตั้งชี้ขึ้น บรรพบุรุษปอมเมอเรนียนย้อนกลับไปถึงยุคก่อนคริสตกาล พบภาพวาดในแผ่นหินและรูปหล่อสัมฤทธิ์ตามโลงศพที่พบในอียิปต์ พบโครงกระดูกสุนัขพันธุ์เล็กคล้ายพันธุ์ปอมเมอเรเนียน ในอุโมงค์ที่บรรจุศพสมัยโบราณของชาวอียิปต์เชื่อกันว่า ปอมเมอเรเนียนได้รับการพัฒนาให้เป็นปอมเมอเรเนียนในปัจจุบันครั้งแรกที่เมืองปอมเมอเรเนีย ประเทศเยอรมัน ตั้งอยู่ในยุโดรเหนือแถบทะเลบอลติก ดินแดนกว้างใหญ่จากตะวันตกของเกาะรูเกนถึงแม่น้ำวิทูลา ที่แห่งนี้มีการเลี้ยงสุนัขอย่างแพร่หลาย ทั้งเพื่อให้เป็นสัตว์และเพื่อให้เป็นสุนัขอารักขา ปอมเมอเรเนียนมีต้นกำเนิดจากพันธุ์สปิทซ์ในสมัยโบราณ บางคนเชื่อว่าสุนัขปอมเมอเรเนียนพัฒนาจากสุนัขพันธุ์ซามอยด์ ซึ่งมีต้นกำเนิดอยู่ที่ตอนเหนือของประเทศรัสเซียแถบไซบีเรีย บางคนเชื่อว่าพัฒนามาจากสุนัขป่า ซึ่งอาศัยอยู่ตามถ้ำในประเทศเยอรมัน และถูกนำมาใช้เป็นสุนัขเลี้ยงแกะในทวีปยุโรปตอนกลางและตอนล่าง นำมาพัฒนาในยุโรปเพื่อช่วยในการเลี้ยงแกะ ซึ่งบรรพบุรุษของปอมฯ น่าจะมีน้ำหนักมากถึง 30 ปอนด์ บางคนเชื่อว่าสุนัขปอมฯ มีต้นกำเนิดมาจากประเทศกรีซ โดยอ้างหลักฐานจากภาพวาดสมัยโบราณหลายภาพที่มีอายุ 400 ปีก่อนคริสตกาล หรือเกือบประมาณ 2500 ปีมาแล้ว มีภาพของสุนัขขนาดเล็กที่มีรูปร่างลักษณะเหมือนสุนัขปอมฯ ในปัจจุบัน คือ Stop ที่เด่นชัด ช่วงปากแหลม หูสั้น ลักษณะการเดินและการแสดงออกเหมือนกับที่พบได้ในปัจจุบันทุกประการ ยกเว้นแต่ตำแหน่งของหางที่อยู่ต่ำเกินไปเท่านั้น แสดงว่าสุนัขพันธุ์นี้มีขนาดเล็กมากตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ไม่ใช่เพิ่งพัฒนาให้มีขนาดเล็กลงเมื่อ 40-50 ปีที่ผ่านมาตามที่มีคนในประเทศอังกฤษอ้างเสมอ ประมาณปี 1800 สมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย ทรงมีความชื่นชอบในสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียนและส่งสุนัขของพระองค์ลงประกวด ทำให้เกิดความนิยมปอมเมอเรเนียนอย่างแพร่หลายในประเทศอังกฤษ และเพราะความที่พระองค์โปรดปรานสุนัขที่มีขนาดเล็ก ผู้เพาะพันธุ์หลายคนเริ่มที่จะคัดสุนัขที่มีขนาดเล็ก ปัจจุบันปอมฯ ที่เราเห็นอยู่มีขนาดที่เล็กลงจากปอมฯ ที่เป็นต้นตำรับ 4-5 ปอนด์ความฉลาดและความสามารถของปอมฯ ทำให้สุนัขพันธุ์นี้เป็นพระเอกในคณะละครสัตว์อย่างต่อเนื่อง ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในเยอรมัน นิยมเลี้ยงกันเป็นฝูง บางแห่งทำเป็นสุนัขลากเลื่อนก็มี ปอมฯ เข้าสู่อังกฤษช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 และได้รับความนิยมอย่างสูง เช่น มีการตั้งชมรมคือ English Pomeranian Club ในปี 1891 ภายหลังสมเด็จพระราชินีวิคตอเรียทรงออกงานพร้อมสุนัขพันธุ์นี้บ่อยครั้ง ทำให้สุนัขพันธุ์นี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว ส่วนในประเทศอเมริกามีการปรากฎตัวครั้งแรกของปอมเมอเรเนียนที่งานกระกวดสุนัขแห่งหนึ่งประมาณปี 1892 ไม่กี่ปีหลังจากนั้นมีการสั่งนำเข้าอีกเกือบ 200 ตัว มาตรฐานของปอมฯ โดยทั่วไป รูปรางจะเหมือนสุนัขจิ้งจอก มีขนาดกลาง ตาเป็นวงรีสีดำ หูเล็กตั้งตรง ลำตัวสั้นขนาดกระทัดรัด หางเป็นพวงแผ่อยู่บนส่วนหลัง



มาตราฐานสายพันธุ์

ลักษณะทั่วไป : ปอมฯ เป็นสุนัขขนาดเล็ก ลำตัวสั้นกระทัดรัด น้ำหนักประมาณ 4-6 ปอนด์ มีการแสดงออกถึงความเฉลียวฉลาด ร่าเริงและตื่นตัวอยู่เสมอ ซื่อสัตย์ รักเจ้าของ ขี้ประจบ แต่เป็นสุนัขค่อนข้างตกใจง่าย เห่ามาก ยิ่งตัวเล็กยิ่งเห่าเก่ง

สัดส่วน : น้ำหนักของปอมฯ โดยเฉลี่ยแล้วจะหนักประมาณ 3-7 ปอนด์ (ประมาณ 1.25-3 กก.) แต่ขนาดที่ดีสำหรับการประกวดนั้นควรหนักประมาณ 4-6 ปอนด์ (1.7-2.5 กก.) ถ้าสุนัขหนักมากกว่าหรือน้อยกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ถือว่าผิดมาตรฐาน รูปร่างของสุนัขมีความสำคัญกว่าขนาดของสุนัข ช่วงตั้งแต่หน้าอกจนถึงสะโพกจะสั้นกว่าหรือเท่ากับส่วนสูงตั้งแต่ช่วงไหล่จนถึงพื้น กระดูกมีขนาดปานกลาง

ศีรษะ : ขนาดของหัวต้องได้สัดส่วนกับลำตัว ช่วงปาก (MUZZLE) สั้นตรง หน้าดูคล้ายกับสุนัขจิ้งจอก (FOXY EXPRESSION) หัวกะโหลกปิด ช่วงบนของหัวกะโหลกจะกลมเล็กน้อยแต่ไม่โหนกนูน ถ้ามองจากด้านหน้าและด้านข้างแล้วจะต้องเห็นหูที่มีขนาดเล็กอยู่ในตำแหน่งที่สูง (HIGH EARSET) และตั้งตรง รูปร่างปากจะมีลักษณะคล้ายรูปลิ่ม(WEDGE SHAPE) เส้นที่ลากจากจมูกไปถึงจุดหัก (STOP) จะต้องอยู่ตรงกลางระหว่างตาทั้งสองข้างและหูทั้งสองข้าง ตามีสีดำสนิท สดใส ขนาดปานกลาง คล้ายเมล็ดอัลมอนด์ (ALMOND SHAPE) สีของจมูกและขอบตาต้องดำสนิท ยกเว้นปอมฯ สีน้ำตาล BEAVER และ BLUE ฟันต้องกัดสบกันพอดี (SCISSORSBITE)

นิสัยและอารมณ์ : สุนัขปอมฯ เป็นสุนัขที่เปิดเผย แสดงออกถึงความเฉลียวฉลาด

การเคลื่อนไหว : การเดินหรือการเคลื่อนไหวต้องเป็นไปอย่างอิสระราบเรียบ นุ่มนวล แลดูแข็งแรง เวลาเดินขาหน้าต้องเหยียดตรงไม่งอพับขึ้น ข้อศอกไม่กางออก ส่วนขาหลังต้องไม่ถ่างออก ขาหลังจะเคลื่อนไปข้างหน้าในจังหวะเดียวกันกับขาหน้าที่เคลื่อนที่ไป

ขน : สุนัขปอมฯ มีขน 2 ชั้น คือ ขนชั้นใน (UNDERCOAT) ต้องนุ่มและแน่น ขนชั้นนอก(OUTTERCOAT) ต้องยาวตรงเป็นประกายและหยาบ ขนชั้นในที่หนาแน่นจะช่วยพยุงขนชั้นนอกให้ฟูไม่ลู่ เหยียดตรง ขนจะต้องหนาแน่นตั้งแต่ช่วงคอ หน้าอก ช่วงไหล่ด้านหน้า ขนช่วงหัวและขาจะแน่นแต่สั้นกว่าขนช่วงลำตัว ขนหางยาว หยาบและเหยียดตรง การตัดแต่งเล็มขนให้ดูสวยงามและดูเรียบร้อยไม่ถือเป็นข้อผิด

สี : สีที่ได้รับการยอมรับและรับรอง ควรได้รับการพิจารณาการตัดสินอย่างเท่าเทียมกัน สีที่ได้รับการยอมรับได้แก่

1. สีใดๆ ก็ได้ที่ขึ้นเป็นสีเดียวกันทั้งตัว หรืออาจจะมีสีที่อ่อนหรือแก่กว่าแซมอยู่ด้วย (SELT-COLOR)

2. สีแซมกัน 2 สี (PARTI-COLOR) หมายถึงปอมฯ ที่มีสีขาวและมีสีอื่นแซมเป็นพื้นๆ กระจายเท่าๆ กันทั่วตัว และควรมีแถบสีขาวบนหัวด้วย

3. สีดำและน้ำตาล (BLACK AND TAN) หมายถึงปอมฯ มีสีดำที่มีสีน้ำตาลอยู่เหนือตาทั้ง 2 ข้างและปาก ลำคอ หน้าอก ใต้หาง ขาและเท้าทั้ง

4 ข้าง สีน้ำตาลนี้ยิ่งเข้มยิ่งดี 4. BRINDLE ได้แก่ปอมฯ ที่มีพื้น คือ สีทอง แดงหรือส้ม และมีสีดำแซมอยู่ทั่วทั้งตัว


จุดบกพร่อง :

1. กะโหลกกลม โหนกนูน ฟันล่างยื่น (UNDERSHOT MOUTH) หรือฟันบนยื่นจนเกินไป (OVERSHOT MOUTH)

2. ข้อเท้าราบกับพื้นมากเกินไป

3. ขาหลังที่หัวเข่าชิดกัน ปลายเท้าชี้ออก (COWHOCKS) หรือขาหลังที่บกพร่อง

4. ขนที่นิ่ม เหยียดตรงและแยกออกจนเห็นผิวหนังข้างใน (OPEN COAT)

ไข้หวัดหมู หรือ ไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก โรคระบาด วิกฤตคนกับเชื้อโรค

ไข้หวัดหมู หรือ ไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก โรคระบาด วิกฤตคนกับเชื้อโรค

การแพร่ระบาดของไข้หวัดหมู (Swine influenza) เป็นความสำเร็จก้าวสำคัญของสงครามระหว่างมนุษย์กับเชื้อโรค และเป็นการยืนยันความจริงที่ว่าโรคอุบัติใหม่-อุบัติซ้ำที่สำคัญและมีโอกาสคร่าชีวิตมนุษย์ ติดต่อได้กว้างขวาง เป็นโรคที่มาจากสัตว์สู่คนเกือบทั้งสิ้น แม้จะผ่านตัวกลาง เช่น ยุง ริ้น เห็บ หรือไม่ก็ตาม
ไข้หวัดหมู ไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก
พัฒนาการของเชื้อโรคที่จะเข้าสู่คน แบ่งเป็น 5 ระดับ คือ 1.เชื้อโรคอยู่ในสัตว์และไม่เคยติดต่อมายังคน เช่น เชื้อมาลาเรียในลิง (Relchenowl malaria) 2.มีการติดต่อจากสัตว์สู่คน แต่หยุดเพียงคนคนนั้น โดยไม่มีการแพร่จากคนสู่คน เช่น โรคพิษสุนัขบ้าจากสุนัข 3.เริ่มมีการข้ามสายพันธุ์ โดยไวรัสจากสัตว์ชนิดหนึ่งถ่ายทอดไปยังสัตว์อีกชนิดและแพร่ไปยังคน เช่น โรคอีโบล่า (Ebola) ที่มีแหล่งรังโรคในค้างคาวแพร่ไปยังลิง และส่งต่อถึงคน โดยมีการติดต่อจากคนสู่คน แต่อยู่ในวงจำกัด เนื่องจากโรคมีความรุนแรงมากในคนและผู้ติดเชื้อเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็วจนไม่สามารถส่งต่อไปคนอื่นๆ อีก 4.เชื้ออยู่ในสัตว์ได้หลายชนิด ขึ้นกับสภาวะภูมิอากาศ ความแห้งแล้ง หรืออุดมสมบูรณ์ เช่น ไวรัสในตระกูลไข้เลือดออก ไข้สมองอักเสบ โดยอาจแฝงในลิงหรือสัตว์ขุดรูต่างๆ และมียุงเป็นพาหะกัดคน และเมื่อคนมีจำนวนไวรัสหรือเชื้อโรคมากขึ้น ก็จะถูกยุงกัด และนำเชื้อไปให้คนอื่นอีก ซึ่งเห็นได้ชัดในโรคไข้เลือดออก และเป็นสาเหตุให้ต้องพยามกำจัดยุงในบริเวณบ้านคนที่เป็นไข้เลือดออก 5.มีวิวัฒนาการในสัตว์จนสุกงอม และติดต่อไปยังคน และติดเชื้อในคนได้อย่างสมบูรณ์กระทั่งมีการติดต่อระหว่างคนสู่คนได้สำเร็จ ไม่ต้องอาศัยสัตว์อีกต่อไป เช่น โรคเอดส์จากเชื้อ HIV ที่มีต้นกำเนิดมาจากลิงสำหรับไข้หวัดหมู พัฒนาการอาจอยู่ในระดับที่ 5 ซึ่งต่อจากนี้จะมีการแพร่ระหว่างคนสู่คน แต่จะมีประสิทธิภาพเพียงใดขึ้นกับการปรับตัวของไข้หวัดหมูในมนุษย์ โดยโรคนี้พบตั้งแต่ ค.ศ.1918-1919 ในช่วงที่ไข้หวัดใหญ่สเปน (Spanish Flu) มีการระบาดครั้งใหญ่ทั่วโลก แต่ผู้เสียชีวิตส่วนมากจะอายุ 20-40 ปี และตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ซึ่งต่างจากไข้หวัดใหญ่ทั่วไป (Seasonal Flu) ที่เล่นงานเด็กเล็กและคนแก่เป็นส่วนมาก แต่คล้ายคลึงกับไข้หวัดหมูที่เราเผชิญอยู่ขณะนี้ ในช่วงนั้นมีการพบไข้หวัดในหมูเช่นกัน (J.S. Koen) และจวบจน ค.ศ.1930 จึงได้มีการแยกเชื้อได้ (Shope และ Davis) ไข้หวัดหมูยังเป็นหมูแท้ๆ อยู่อีก 80 ปี โดยไม่มีลูกผสมเป็น 3 เกลอ (พันธุกรรมหมู นก คน) ดังเช่นปัจจุบัน แต่ถึงกระนั้นก็ก่อให้เกิดโรคในคนอยู่เนืองๆ มากกว่า 50 ราย เช่น ในสหรัฐ 19 ราย เชโกสโลวะเกีย 6 ราย เนเธอร์แลนด์ 4 ราย รัสเซีย 3 ราย แคนาดาและฮ่องกงอีกแห่งละ 1 ราย โดยผู้ป่วย 61% มีประวัติสัมผัสหมูและมีอายุเฉลี่ย 24 ปี หลังจากนั้นใน ค.ศ.1974 ไข้หวัดหมู (ล้วน) มีการพัฒนาโดยเกิดโรคในค่ายทหาร (Fort Dix) ที่รัฐนิวเจอร์ซี่ (New Jersy) มีผู้ป่วย 13 ราย เสียชีวิต 1 ราย โดยที่อีก 230 ราย ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการ หรือมีอาการแต่น้อยมาก ทั้งหมดนี้ไม่มีประวัติสัมผัสหมู ซึ่งแสดงว่าน่าจะมีการพัฒนาจนมีการติดต่อจากคนสู่คน การติดต่อในค่ายทหาร ทำให้มีการฉีดวัคซีนไข้หวัดหมูให้ประชาชนทั่วไป แต่พบว่าช่วงที่มีการฉีดวัคซีนมีผู้ป่วยเส้นประสาทอักเสบแขน ขาอัมพาต ทำให้ต้องล้มเลิกการใช้วัคซีน และข้อมูลสรุปของการเกิดอัมพาตอาจยังคลุมเคลือจนปัจจุบัน ใน ค.ศ.1988 มีผู้หญิงตั้งครรภ์เสียชีวิต โดยมีประวัติสัมผัสหมูในรัฐวิสคอนซิน (Wisconsin) และเริ่มสงสัยว่าไข้หวัดหมูอาจไม่ใช่พันธุ์หมูล้วน (classic H1N1) จวบจน ค.ศ.1998 จึงได้มีการพิสูจน์พบว่า หมูเลี้ยงในสหรัฐ มีไวรัสไข้หวัดหมูกลายพันธุ์ โดยมีพันธุกรรมผสมระหว่างหมู คน และนก เกิดสายพันธุ์ผสม (Triple assortant virus) H3N2, H1N2, และ H1N1 (วารสารโรคติดเชื้อ JID 2008) และสายพันธุ์ผสมนี้ยังพบได้ในเอเชีย และแคนาดาไข้หวัดหมูผสมสายพันธุ์ใหม่ พบได้ในประเทศสเปน (H1N1) เดือนพฤศจิกายน 2008 เป็นหญิงอายุ 50 ปี มีการไข้ ไอ เหนื่อย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คันคอ และคันตา และหนาวสั่น ผู้ป่วยหายเองโดยไม่ต้องการการรักษาใดๆ โดยที่ผู้ป่วยทำงานในฟาร์มหมูและสัมผัสใกล้ชิดหมู ไม่มีคนใกล้ชิดในละแวกมีการติดเชื้อ ข้อสรุป ณ ขณะนั้น ยังไม่คิดว่าไข้หวัดหมูแม้เป็นสายพันธุ์ผสมแล้วจะมีอันตรายมากนัก (Eurosurveillance ฉบับ 19 กุมภาพันธ์ 2009) อย่างไรก็ดี เหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดมาก่อนในรัฐวิสคอนซิน วันที่ 7 ธันวาคม 2005 ชายอายุ 17 ปี มีอาการไข้หวัดใหญ่ แต่หายเองใน 3-4 วัน มีการติดเชื้อไข้หวัดหมูลูกผสม H1N1 โดยผู้ป่วยไม่ได้มีการสัมผัสกับหมูหรือไก่ที่บริเวณบ้าน และในระหว่างช่วงเดียวกันมีรายงานการติดเชื้อลูกผสมในแคนาดาใน ค.ศ.2005 และ 2007เห็นได้ว่าไวรัสไข้หวัดหมูมีการพัฒนาตัวเองมาตลอด แต่สิ่งที่ยากคือ หมูที่ติดเชื้อไม่จำเป็นต้องแสดงอาการเจ็บป่วยก็ถ่ายทอดเชื้อได้ สำหรับหมูในประเทศไทย ขณะนี้แม้จะมีเชื้อลูกผสมวนเวียนและไม่เป็นอันตรายอยู่ก็ตาม แต่ยังคงต้องเกาะติดสถานการณ์อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง

ข้าวเกรียบน้ำพริกสมุนไพร



ข้าวเกรียบน้ำพริกสมุนไพร


ส่วนผสม
ข้าวเกรียบกุ้งหรือปลาตามชอบ จำนวนพอเหมาะ
น้ำพริกเผา (เลือกรสตามชอบ) ประมาณ 1/2 ถ้วย
ปลาฉิ้งฉ้าง 1/4 ถ้วย
หอมเล็กซอยบาง 1/4 ถ้วย
ตะไคร้ซอยบาง 1/4 ถ้วย
ใบมะกรูดซอยละเอียด 5-6 ใบ
น้ำมะนาวประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูบุบหรือซอย 5-8 เม็ด


วิธีทำ
หักปลาฉิ้งฉ้างเป็นชิ้นเล็ก ๆ ผสมกับน้ำพริกเผาและส่วนผสมอื่น ๆ ทั้งหมด คลุกให้เข้ากัน ชิมรส แล้วจิ้มกินกับข้าวเกรียบ

หมูปิ้ง - น้ำจิ้มงา



หมูปิ้ง - น้ำจิ้มงา

ส่วนผสม
เนื้อหมู 1/2 กิโลกรัม
น้ำปลา 2 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
แม๊กกี้ 2 ช้อนชา
เกลือป่น
1 ช้อนชา
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
หัวกะทิ 1/4 ถ้วย
พริกไทยเม็ด 2 ช้อนโต๊ะ
รากผักชี 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมปอก หั่นหยาบๆ 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำส้มสายชู 1/2 ช้อนชา
น้ำมันงา 1/4 ถ้วย

วิธีทำ

1. หั่นหมูให้เป็นชิ้นหนาพอสมควร
2. นำเครื่องที่โขลกแล้ว (พริกไทยเม็ด รากผักชี และกระเทียม) ผสมกับส่วนผสมอื่นๆ รวมกัน ใส่หมูลงเคล้า หมักไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง
3. เมื่อหมูได้ที่แล้วนำไปเสียบไม้ นำไปปิ้งโดยใช้น้ำมันงาพรมตลอดจนกระทั่งสุก
4. จัดใส่จานเสิร์ฟกับน้ำจิ้ม

ส่วนผสมน้ำจิ้ม

หอมแดงเผา1/4 ถ้วย
กระเทียมเผา3 ช้อนโต๊ะ
พริกชี้ฟ้าเผา10 เม็ด
น้ำปลา1/4 ถ้วย
น้ำตาลทราย2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว3 ช้อนโต๊ะ
งาคั่ว2 ช้อนโต๊ะ


วิธีทำน้ำจิ้ม

1. โขลกหอมแดงเผา กระเทียมเผา พริกชี้ฟ้าเผาและงาคั่วให้ละเอียด
2. ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลทรายและน้ำมะนาว ชิมรสตามชอบ

มะกะโรนีผัดฉ่า



มะกะโรนีผัดฉ่า

ส่วนผสม

มะกะโรนี (ริกาโตนี) 2 ถ้วย
ปลากะพง ปลาเก๋า หรือปลาแซลมอน
หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม 200 กรัม
น้ำมันมะกอกสำหรับทอดปลา และผัดประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูสับละเอียด 2 เม็ด
กระเทียมสับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าใหญ่ 2 ช้อนโต๊ะ
เม็ดพริกไทยสดทั้งเม็ด และหั่นเป็นท่อนสั้นประมาณ 3 ช่อ
ใบโหะระพา 1/4 ถ้วย
น้ำปลา 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาล 2 ช้อนชา
วิธีทำ

ต้มริกาโตนีให้สุก เหนียว นุ่ม (อ่านคำแนะนำจากข้างซอง) พักไว้
ตั้งกระทะใส่น้ำมันเล็กน้อยพอร้อน นำปลาลงนาบให้พอสุก ตักขึ้นพักไว้
ใส่กระเทียม พริกสับละเอียด กระเทียมชิ้นใหญ่ และเม็ดพริกไทย ลงผัดจนมีกลิ่นหอม ใส่ริกาโตนีที่ต้มสุกแล้วลงผัดให้เข้ากัน (อาจเติมน้ำสะอาดได้นิดหน่อย)
ใส่ปลาที่ทอดแล้วลงไป ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล ผัดให้เข้ากันอย่างรวดเร็ว แต่เบามือ ใส่ใบโหระพา ผัดให้สุกสักครู่ แล้วตักขึ้นทันที

หมูผัดพริกขิงถั่วฝักยาว


หมูผัดพริกขิงถั่วฝักยาว



เครื่องปรุง


หมูสามชั้น 200 กรัม
ถั่วฝักยาว 300 กรัม
น้ำพริกแกงเผ็ด 2 ช้อนโต๊ะ
ใบมะกรูด 5 ใบ
น้ำตาลทราย 1 ½ ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 1 ช้อนชา
น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

1. นำถั่วฝักยาวมาตัดหัวตัดท้ายออก ล้างน้ำให้สะอาด หั่นเป็นท่อนๆ
2. นำเข้าไมโครเวฟ (หรือลวกในน้ำเดือด) ประมาณ 2 นาที แล้วนำมาแช่ในน้ำเย็นจัด จากนั้นจึงสะเด็ดน้ำและพักไว้
3. นำเนื้อหมูสามชั้นมาล้างน้ำให้สะอาด ซับน้ำให้แห้งแล้วหั่นเป็นชิ้นขนาดพอคำ
4. นำใบมะกรูดมาล้างน้ำให้สะอาด สะเด็ดน้ำ ฉีกเส้นกลางใบออกแล้วซอยให้เป็นฝอย
5. เปิดเตาที่ไฟปานกลางค่อนข้างแรง ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันลงไป พอน้ำมันเริ่มร้อนให้นำน้ำพริกแกงเผ็ดลงไปผัดจนหอมและแตกมัน จากนั้นจึงใส่เนื้อหมูลงไป
6. ผัดจนเนื้อหมูเริ่มสุกก็ปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำตาล แล้วผัดให้เครื่องปรุงทั้งหมดเข้ากัน
7. ใส่ถั่วฝักยาวลงไป ผัดเร็วๆ ให้ทั่ว จากนั้นจึงใส่ใบมะกรูดหั่นฝอยลงไป ผัดต่ออีก 30 วินาทีพอให้เข้ากันดีก็ปิดเตาและยกลงได้
8. ตักหมูผัดพริกขิงถั่วฝักยาวใส่จาน โรยด้วยใบมะกรูดหั่นฝอย จากนั้นก็ยกเสริฟได้เลย


Tip: การทำให้ถั่วฝักยาวสุกพอสุกและแช่น้ำเย็นไว้ซักพักนั้นจะทำให้ถั่วฝักยาวสดกรอบ ไม่เหม็นเขียวและนิ่มเมื่อผัดเสร็จแล้ว

เจ็บ 'ตาปลา' ทำไงดี?

เจ็บ 'ตาปลา' ทำไงดี?

ใครเป็น “ตาปลา” ที่เท้า คงจะรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดทรมานเป็นอย่างดี เพราะกว่าจะรักษาหายต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ แต่ปัญหา คือ ในบางคนรักษาหายแล้ว กลับมาเป็นใหม่ได้อีก หากไม่แก้ไขที่ต้นเหตุ
รศ.พญ.พรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน สาขาตจวิทยา (ผิวหนัง) ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า ตาปลาเป็นก้อนของหนังขี้ไคลซึ่งเกิดจากการเสียดสีของผิวหนังเรื้อรัง พบบ่อยบริเวณฝ่าเท้าซึ่งรับน้ำหนักตัวจึงเกิดอาการเจ็บเวลาเดิน

ทั้งนี้ผิวหนังของคนเราประกอบด้วยชั้นผิวหนังกำพร้ากับชั้นหนังแท้ โดยมีสารเชื่อมให้เกาะกัน เมื่อผิวหนังมีการเสียดสีรุนแรง ผิวหนังกำพร้าแยกเป็นตุ่มน้ำพองใส แต่การเสียดสีเป็นแบบเรื้อรังจะกระตุ้นให้ผิวหนังกำพร้าสร้างหนังขี้ไคลหนาเพิ่มขึ้นกลายเป็นรอยด้านแข็ง พบบ่อยบริเวณด้านข้างของฝ่าเท้าซึ่งมีการเสียดสีกับรองเท้า และในบางจุดหนังขี้ไคลหนาแข็งเป็นก้อนเล็กฐานของก้อนแหลมคล้ายลิ่มจึงเจ็บเมื่อกดลง และเมื่อปาดส่วนบนของก้อนออกจะเห็นหนังขี้ไคลกลมใสคล้ายตาปลาปัญหาหนังฝ่าเท้าด้านและตาปลาพบบ่อยขึ้น เพราะการสวมใส่รองเท้าแฟชั่นซึ่งไม่สอดคล้องกับโครงสร้างของกระดูกเท้า โดยเท้าประกอบด้วยกระดูกขนาดเล็กจำนวนมากเรียงต่อกันเป็นแนว ข้อกระดูกเชื่อมโยงด้วยพังผืดและมีเส้นเอ็นเกาะกระดูกเพื่อบังคับการทรงตัวให้มั่นคง กระดูกเท้ามีหนังฝ่าเท้าห่อหุ้ม ผิวหนังบางส่วนมีการเสียดสีกับวัสดุรองเท้าเรื้อรังจึงหนาด้านขึ้น ถ้ารองเท้าบีบรัดให้การเรียงตัวของกระดูกผิดทิศทางมีการรับน้ำหนักของกระดูกบางชิ้นเพิ่มขึ้นก็จะยิ่งทำให้การเสียดสีเพิ่มมากขึ้น ก้อนหนังที่หนาแข็งของหนังกำพร้าหรือตาปลาจะกดหนีบเนื้อหนังแท้และชั้นไขมันซึ่งมีใยเส้นประสาทกับกระดูกทำให้เจ็บปวดเวลาเดิน
ลักษณะหนังหนาและตาปลา ยังพบได้บริเวณซอกนิ้วนางและนิ้วก้อย ซึ่งมีการเสียดสีของหนังซึ่งทับกันระหว่างซอกนิ้วกับกระดูกนิ้ว นอกจากนี้ยังพบบริเวณฝ่าเท้าระหว่างโคนหัวแม่เท้ากับนิ้วชี้ และฝ่าเท้าบริเวณโคนนิ้วกลางและนิ้วนาง จากการสวมใส่รองเท้าหัวแหลมบีบนิ้วทั้ง 2 ข้างเข้าหากัน หนังฝ่าเท้าจะห่อเข้าหากันเกิดการเสียดสีเรื้อรังเมื่อเดินเป็นก้อนแข็งยาวตามร่องฝ่าเท้า และอาจมีตาปลาตรงกลางก้อนแข็ง
ด้านบนของหลังเท้าบริเวณนิ้วนางก็พบตาปลาบ่อยเนื่องจากการสวมรองเท้าหัวแบน ผิวหนังบริเวณดังกล่าวเสียดสีกับรองเท้าซึ่งหุ้มหลังเท้า ส่วนผิวหนังหนาด้านข้างฝ่าเท้าบริเวณหัวแม่เท้าและนิ้วก้อย มักเกิดจากการสวมรองเท้าหลวมเกินไป

ผู้ป่วยสามารถวินิจฉัยตาปลาได้เอง โดยตาปลาส่วนใหญ่จะเป็นทั้ง 2 เท้า แต่ก้อนเจ็บบริเวณฝ่าเท้าคล้ายตาปลาอาจเป็นโรคหูดจากไวรัส เอชพีวีได้ โดยไวรัสจะกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังแบ่งตัวเพิ่มขึ้นเป็นก้อนในชั้นหนังกำพร้า แต่มีข้อแตกต่าง คือ หูดมักเป็นเท้าเดียวและเจ็บมากถ้าบีบก้อนทางด้านข้างเข้าหากัน ส่วนตาปลามักเจ็บมากเมื่อกดลง และเมื่อปาดผิวหูดออก เนื้อหูดเป็นเส้นสีขาวอัดแน่น หรือถ้าตัดลงลึกจะมีเลือดออกเพราะหูดเป็นเนื้องอกของหนังกำพร้ามีเซลล์ผิวหนังในชั้นหนังกำพร้าหนาขึ้น และมีหลอดเลือดเพิ่มมากขึ้น แต่ตาปลามีเฉพาะผิวหนังขี้ไคลหนาเท่านั้น
ตาปลาจะหายขาดต้องรักษาที่ต้นเหตุ ว่าเป็นจากความผิดปกติของกระดูก หรือการสวมรองเท้าไม่เหมาะสม แต่การผ่าตัดแก้ไขกระดูกยุ่งยากมาก จึงนิยมรักษาตามอาการ เช่น ขูดหรือเฉือนส่วนแข็งออก ใช้ยากัดหูดซึ่งประกอบด้วยกรดซาลิซิลิคหรือกรดแลคติก นอกจากนี้การแก้ไขรองเท้าเพื่อลดการเสียดสี และการใช้อุปกรณ์เสริมวางบนเท้าหรือรองเท้าเพื่อกระจายน้ำหนักหรือลดการเสียดสีจะช่วยทุเลาอาการ เช่น บริเวณพื้นรองเท้าอาจตัดแผ่นรองใต้ฝ่าเท้าให้เป็นหลุมเพื่อลดการกดทับเมื่อเดิน.

ผลกระทบของแอลกอฮอล์ ที่ไหลผ่านอวัยวะในร่างกาย


ผลกระทบของแอลกอฮอล์ ที่ไหลผ่านอวัยวะในร่างกาย

1. ปากและลำคอ เหล้าจะไประคายเคืองชิ้นเยื่อบุที่ละเอียดอ่อนในปากและหลอดอาหาร มักจะร้อนซู่เมื่อผ่านลงไป
2. กระเพาะอาหารและลำไส้ เหล้านั้นจะไปมีผลกับผนังชั้นนอกสุดที่เป็นชั้นที่จะปกป้องกระเพาะอาหาร จะทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ ถ้าอาการเช่นนี้เกิดอย่างเฉียบพลัน เกิดการอักเสบของเยื่อบุชั้นในสุดของผนังกระเพาะหรืออาจทะลุได้ ในลำไส้เล็ก เหล้าจะไปเป็นอุปสรรคกับการดูดซึมของสารอาหารบางชนิด เช่น ไขมัน วิตามินบี 6, 12 เป็นต้น
3. กระแสเลือด 95% ของเหล้าที่ดื่มเข้าไปในร่างกาย จะซึมเข้ากระแสเลือด โดยผ่านเยื่อบุในกระเพาะ และลำไส้อย่างรวดเร็ว เมื่อถึงกระแสเลือดมันจะเข้าไปในเซลล์และตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกายอย่างรวดเร็วเช่นกัน แอลกอฮอล์ทำให้เซลล์ของเลือดเกาะเป็นก้อนเหนียว ทำให้การไหลเวียนช้าลง ออกซิเจนน้อยลงด้วย เหล้าทำให้โลหิตจางด้วย โดยที่มันจะไปลดการสร้างเม็ดเลือดแดง และยังไปทำให้ความสามารถของเม็ดเลือดขาวในการกลืนตัวเชื้อและการทำลายแบคทีเรียช้าลง การทำให้การแข็งตัวของเกล็ดเลือดช้าลงด้วย
4. ตับอ่อน แอลกอฮอล์จะทำให้เซลล์ของตับอ่อนระคายเคือง เซลล์บวมขึ้น เหล้าทำให้การไหลของน้ำย่อยไม่คล่องตัว สารเคมีไม่สามารถที่จะเข้าไปในลำไส้เล็กได้ ทำให้มันย่อยตัวตับอ่อนเอง ทำให้ เกิดเลือดออกอย่างเฉียบพลันและการอักเสบของตับอ่อน พบว่า 1/5 จะเสียชีวิตไปในครั้งแรก เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับตับอ่อนนี้ทำให้การสร้างอินซูลินขาดหายไป และทำให้เป็นเบาหวาน
5. ตับ แอลกอฮอล์มีอิทธิพลกับเซลล์ของตับ ทำให้เกิดการบวมและไปทางเดินน้ำดีเล็กๆ ที่จะเป็นทางไปสู่ลำไส้เล็ก ทำให้น้ำดีซึมผ่านไปทั่วตับ ทำให้ตัวเหลืองตามส่วนขอบของตาและผิวหนังเป็นสีเหลือง ทุกครั้งที่ดื่มนั้นเซลล์ของตับจะถูกทำลายในที่สุดทำให้ตับแข็ง การเสี่ยงต่อการเป็นโรคตับมีถึง 8 เท่า เมื่อเทียบกับความปกติ
6. หัวใจ แอลกอฮอล์ทำให้กล้ามเนื้อของหัวใจบวมขึ้น ทำให้เกิดเป็นพิษกับหัวใจเป็นเหตุทำให้การสะสมของไขมันมากขึ้น และทำให้การเผาผลาญช้าตามไปด้วย
7. กระเพาะปัสสาวะและไต แอลกอฮอล์ทำให้เยื่อบุของกระเพาะปัสสาวะบวมขึ้น ทำให้ไม่สามารถยืดตามปกติได้ในไต การระคายเคืองทำให้การสูญเสียน้ำมากขึ้น
8. สมอง อวัยวะที่แอลกอฮอล์ลุกลามจะไปมีบทบาทและเห็นผลได้ชัด คือ สมอง มันจะไปกดศูนย์กลางของสมอง ทำให้การประสนงานเสื่อมลงเรื่อยๆ สับสน จำความไม่ได้ เซื่องซึม ชา หรือสลบ โคม่าและตายได้ มันจะไปฆ่าเซลล์ของสมอง เมื่อเซลล์สมองถูกทำลายแล้วจะสร้างขึ้นใหม่ไม่ได้ การดื่มเป็นประจำระยะหนึ่งจะทำให้ความจำ การตัดสินใจและความสามารถในการเรียนรู้เสื่อมไป
นอกจากนี้แอลกอฮอล์ที่ไหลผ่านอวัยวะของร่างกายนั้นจะมีกรดที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายเมื่อดื่มเข้าไปอีกด้วย

วิธีแก้เมื่อลืมกินยาตามเวลา


วิธีแก้เมื่อลืมกินยาตามเวลา


ใครเคยลืมกินยาตามเวลาบ้าง วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีแก้มาบอกเพราะยาบางตัวอาจออกฤทธิ์ไม่เหมือนกัน….
ถ้าลืมกิน…ยาก่อนอาหาร
วิธีแก้ : ยาจำพวกนี้จะดูดซึมได้ดีขณะที่ห้องว่าง ดังนั้นหากลืมกินก่อนอาหารให้กินหลังอาหารอีกทีเมื่อเวลาผ่านไปแล้ว 2 ชั่วโมง กระเพาะจะใช้เวลาในการย่อยอาหารประมาณ 2 ชั่วโมง
หลักการที่ถูก : ควรกินก่อนอาหาร ประมาณ 30-60 นาที
ถ้าลืมกิน…ยาหลังอาหาร
วิธีแก้ : รีบกินทันทีที่นึกได้ แต่หากเลยหลังอาหารไปแล้ว 2 ชั่วโมง ให้หาของว่างรองท้อง แล้วกินยามื้อที่ลืม แต่ถ้าใกล้เวลากินมื้อต่อไปแล้ว ให้ข้ามมื้อที่ลืมไปเลย ไม่ควรกินยาเป็น 2 เท่า เด็ดขาด!
หลักการที่ถูก : ควรรับประทานหลังอาหาร ประมาณ 15-20 นาที
ถ้าลืมกิน…ยาหลังอาหารทันที/ยากินพร้อมอาหาร
วิธีแก้ : ยาประเภทนี้มีฤทธิ์กัดกระเพาะ อาจทำให้ท้องอืดแน่นหรือคลื่นไส้อาเจียน ถ้ากินตอนท้องว่าง ดังนั้นควรทำเหมือนกรณีลืมกินยาหลังอาหารทุกประการ
หลักการที่ถูก : ควรกินทันทีหลังอาหารคำสุดท้าย
ถ้าลืมกิน…ยาก่อนนอน
วิธีแก้ : ลืมแล้วก็ปล่อยให้ลืมไป ไม่ต้องกินซ้ำอีกครั้งในตอนเช้า หรือตามไปกินซ้ำ 2 เท่า ในช่วงก่อนเข้านอนของอีกวัน
หลักการที่ถูก : กินแล้วควรเข้านอนทันที (ยาประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นยาคลายประสาท ทำให้ง่วงนอน จึงอาจเกิดอุบัติเหตุได้ถ้าไม่อยู่เป็นที่เป็นทาง)
ครั้งหน้าถ้าลืมกินยาเมื่อไหร่ อย่าลืมนำวิธีแก้ที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้

ทำความรู้จัก โรคภูมิแพ้



เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาว
มีคนไม่น้อยที่ผจญกับอาการภูมิแพ้ แต่มีเพียงไม่มากที่รักษาอย่างจริงจัง มารู้จักและรู้วิธีอยู่ร่วมกับ “ภูมิแพ้”
น้ำฝน ยิ้มหน้าบานทันทีที่เห็นแฟนหนุ่มหอบดอกไม้ช่อโตมาเซอร์ไพรส์ถึงออฟฟิศ คงเป็นอย่างที่นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมว่าไว้ “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” เพราะเพื่อนสาวที่นั่งโต๊ะข้างๆ ออกอาการฟึดฟัด หน้าตาแดงก่ำ น้ำหูน้ำตาไหล ให้เห็นต่อหน้าต่อตา ไม่ใช่อิจฉาหรอกนะ แต่เธอแพ้เกสรดอกไม้ต่างหาก แสดงอาการคนขี้แพ้ตั้งแต่ชายหนุ่มยังไม่เดินออกมาจากลิฟต์

“ภูมิแพ้เป็นมหันตภัยที่อาจเกิดกับคนใกล้ตัว ใน 5 คนจะพบคนเป็นภูมิแพ้ถึง 2 คน ถือว่าชุกชุมพอสมควร” รศ.พญ.จรุงจิตร์ งามไพบูลย์ จากภาควิชากุมารเวช คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กำลังจะมาบอกวิธีเอาชนะให้คนขี้แพ้

อาการแสดงออกของโรคภูมิแพ้ที่พบมากคือ หอบหืด เกิดจากการได้รับสารก่อภูมิแพ้บางชนิดเข้าไปทางหลอดลม และคนที่ร่างกายรับรู้สิ่งแปลกปลอมได้เร็วกว่าปกติ ร่างกายจะกระตุ้นภูมิคุ้มกันฟูมฟายออกมาต่อต้านสารดังกล่าว และเกิดการอักเสบ มีเสมหะ น้ำมูก และน้ำเหลือง บริเวณหลอดลม ทำให้หายใจลำบาก

โรคภูมิแพ้จะถูกแบ่งตามอาการที่เกิดขึ้นกับอวัยวะ เช่น โพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้อากาศ หอบหืด โรคภูมิแพ้ผิวหนัง รวมถึงปฏิกิริยาแพ้รุนแรงที่เกิดจากการแพ้ยา แมลงกัดต่อย และแพ้อาหารบางชนิด ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นโรคที่เข้าข่ายภูมิแพ้ทั้งสิ้น อาการของโรคภูมิแพ้มีตั้งแต่ ไอ จาม หอบหืด ไปจนถึงหลอดลมอุดตัน และเสียชีวิตก็มี

คนที่ดูภาพยนตร์เรื่องเดอะ ดาวินชี โค้ด อาจงงตอนใกล้จบเรื่องที่ผู้ร้ายสมรู้ร่วมคิดคนหนึ่งหยิบเหล้ามาดื่มแล้วชักดิ้นชักงอ แต่ผู้ร้ายตัวจริงกลับดื่มแล้วไม่เป็นไร เหล้าน่ะไม่มียาพิษหรอก แต่ผู้ร้ายที่กระดกเหล้าแล้วตายแหงแก๋ เป็นเพราะเขาแพ้เนยถั่วอย่างแรง เหล้ากระปุกนั้นใส่ถั่วไว้ (รสชาติคงพิลึก) บางคนแพ้ช็อกโกแลต เลยอดลิ้มรสชาติแสนอร่อยของขนมหวานมหัศจรรย์ บางคนแพ้กุ้งแพ้ปูก็น่าสงสาร ของอร่อยทั้งนั้น บ้างก็แพ้หอมหัวใหญ่ เพราะฉะนั้นถ้ารู้ตัวว่าแพ้อะไรยิ่งต้องระวังให้ดี

ผู้ป่วยที่เสียชีวิตด้วยโรคภูมิแพ้ส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ สาเหตุหลักมาจากความประมาท ไม่ดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากปัจจัยก่อภูมิแพ้ รวมถึงกรณีที่ใช้ยาพ่น ขยายหลอดลมในยามคับขันไม่ถูกวิธี ทำให้ยาไม่ลงไปถึงหลอดลม และเสียชีวิตในที่สุด

“ปัจจุบันการเสียชีวิตจากอาการภูมิแพ้จะลดลงมาก เนื่องจากมียาช่วยชีวิตไว้ทันเวลา แต่โรคนี้ก็ยังไม่หมดไป และยังคงความรุนแรงจนถึงขั้นทำให้เสียชีวิตอยู่เหมือนเดิม หรือเป็นเจ้าชายนิทรา เนื่องจากไม่ดูแลตัวเอง ไม่กินยา แถมบางคนยังคงสูบบุหรี่จัด” ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้กล่าว

ปัจจัยที่ทำให้เกิดสารก่อภูมิแพ้ติดอันดับหนึ่งคือ ไรฝุ่น ที่พบมากในที่นอน รองลงมาเป็นภูมิแพ้จากแมลงสาบ ขนสัตว์ ไปจนถึงละอองเกสรและดอกหญ้า ซึ่งล้วนกระตุ้นอาการแพ้ได้เช่นกัน คนที่เป็นโรคภูมิแพ้ จะรับรู้สิ่งแปลกปลอมได้ไวกว่าปกติ หรือที่เรียกว่า จมูกไว ไม่ว่าจะอากาศเปลี่ยน ฝนตก ได้กลิ่นควันบุหรี่ กลิ่นดอกไม้ ก็จะสามารถรับรู้ได้ไวกว่าคนปกติ อาการเริ่มต้นที่แสดงออก คือ ไอ ซึ่งเป็นอาการนำของการจับหืด เมื่อลองเงี่ยหูฟังจะได้ยินเสียงวี้ด ขณะหายใจ เกิดจากหลอดลมถูกบีบรัด เนื่องจากมีเสมหะสะสมอยู่โดยไม่ทันตั้งตัว อาการดังกล่าวจะหายไปได้หากใช้ยาพ่นขยายหลอดลม

“อาการหอบหืดจากภูมิแพ้เกิดขึ้นได้เมื่ออากาศเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเวลากลางคืนที่มีโอกาสสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ใกล้ตัว คือที่นอน นอกจากนี้ความกังวล อาการเครียด บางครั้งในเด็กที่หัวเราะมากๆ วิ่งเล่นมากๆ ก็พบเห็นอาการหอบหืดเช่นกัน” คุณหมอกล่าว

แม้การออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน แต่ในกรณีของผู้ป่วยหอบหืด และยังไม่ได้รับการรักษา การออกกำลังกายเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อาการกำเริบได้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่เลือกที่จะซื้อยากินและยาพ่นมาใช้เอง โดยไม่ปรึกษาแพทย์ก่อน ทำให้มีโอกาสเสี่ยงสูงต่อชีวิต ขณะที่อาการจับหืดกำเริบรุนแรง หากใช้ยาไม่ถูกวิธี
หากผู้ป่วยสงสัยว่าตนเองเข้าข่ายโรคภูมิแพ้ โดยเฉพาะในเด็ก ควรรีบมาพบแพทย์ เพื่อซักถามประวัติ และหาสาเหตุของสารระคายเคืองชนิดที่แพ้ ซึ่งแพทย์จะตรวจเลือด เอกซเรย์ปอด และทดสอบผิวหนัง (skin test) หรือทดสอบหยดสารระคายเคืองชนิดต่างๆ ลงบนผิวหนัง เพื่อสังเกตอาการที่เกิดขึ้น เช่น ตุ่มแดง หรือผื่นคัน ซึ่งจะช่วยบอกผู้ป่วยได้ว่าแพ้อะไร และควรจะดูแลตัวเองอย่างไรให้ห่างไกลจากสารก่อภูมิแพ้
คนที่โพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้พร้อมกับอาการหอบหืด โดยจากสถิติพบเกิดอาการร่วมกันประมาณ 50-80% จำเป็นต้องรักษา 2 อาการไปพร้อมกัน ที่ผ่านมา คนไทยสนใจรักษาตัวเองจากโรคภูมิแพ้น้อย บ้างอ้างว่าไม่มีเวลา ทำให้การรักษาไม่ได้ผลเท่าไหร่ จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมจึงยังมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้อยู่บ่อยครั้ง

แพทย์หญิงจรุงจิตร์กล่าวและเตือนด้วยว่า การซื้อยามาพ่นเองเป็นประจำ อาจทำให้เกิดการใช้ยาเกินความจำเป็น และดื้อยาในที่สุด ยาสเตรียรอยด์บางชนิดหากใช้มากเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโต และความคิดตัดสินใจได้เช่นกัน
ปัจจุบันแพทย์สนับสนุนให้ผู้ป่วยใช้ยา 2 ชนิดร่วมกันเพื่อลดการใช้สเตรียรอยด์

friend





friend





friend




friend




friend




friend






friend








friend





friend




friend




friend




friend




friend





>


friend





friend






friend





friend





friend







friend







friend




friend




Neno








friend








poom






wasna




travellerlady







friend