แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สุขภาพ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สุขภาพ แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ไข้หวัดหมู หรือ ไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก โรคระบาด วิกฤตคนกับเชื้อโรค

ไข้หวัดหมู หรือ ไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก โรคระบาด วิกฤตคนกับเชื้อโรค

การแพร่ระบาดของไข้หวัดหมู (Swine influenza) เป็นความสำเร็จก้าวสำคัญของสงครามระหว่างมนุษย์กับเชื้อโรค และเป็นการยืนยันความจริงที่ว่าโรคอุบัติใหม่-อุบัติซ้ำที่สำคัญและมีโอกาสคร่าชีวิตมนุษย์ ติดต่อได้กว้างขวาง เป็นโรคที่มาจากสัตว์สู่คนเกือบทั้งสิ้น แม้จะผ่านตัวกลาง เช่น ยุง ริ้น เห็บ หรือไม่ก็ตาม
ไข้หวัดหมู ไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก
พัฒนาการของเชื้อโรคที่จะเข้าสู่คน แบ่งเป็น 5 ระดับ คือ 1.เชื้อโรคอยู่ในสัตว์และไม่เคยติดต่อมายังคน เช่น เชื้อมาลาเรียในลิง (Relchenowl malaria) 2.มีการติดต่อจากสัตว์สู่คน แต่หยุดเพียงคนคนนั้น โดยไม่มีการแพร่จากคนสู่คน เช่น โรคพิษสุนัขบ้าจากสุนัข 3.เริ่มมีการข้ามสายพันธุ์ โดยไวรัสจากสัตว์ชนิดหนึ่งถ่ายทอดไปยังสัตว์อีกชนิดและแพร่ไปยังคน เช่น โรคอีโบล่า (Ebola) ที่มีแหล่งรังโรคในค้างคาวแพร่ไปยังลิง และส่งต่อถึงคน โดยมีการติดต่อจากคนสู่คน แต่อยู่ในวงจำกัด เนื่องจากโรคมีความรุนแรงมากในคนและผู้ติดเชื้อเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็วจนไม่สามารถส่งต่อไปคนอื่นๆ อีก 4.เชื้ออยู่ในสัตว์ได้หลายชนิด ขึ้นกับสภาวะภูมิอากาศ ความแห้งแล้ง หรืออุดมสมบูรณ์ เช่น ไวรัสในตระกูลไข้เลือดออก ไข้สมองอักเสบ โดยอาจแฝงในลิงหรือสัตว์ขุดรูต่างๆ และมียุงเป็นพาหะกัดคน และเมื่อคนมีจำนวนไวรัสหรือเชื้อโรคมากขึ้น ก็จะถูกยุงกัด และนำเชื้อไปให้คนอื่นอีก ซึ่งเห็นได้ชัดในโรคไข้เลือดออก และเป็นสาเหตุให้ต้องพยามกำจัดยุงในบริเวณบ้านคนที่เป็นไข้เลือดออก 5.มีวิวัฒนาการในสัตว์จนสุกงอม และติดต่อไปยังคน และติดเชื้อในคนได้อย่างสมบูรณ์กระทั่งมีการติดต่อระหว่างคนสู่คนได้สำเร็จ ไม่ต้องอาศัยสัตว์อีกต่อไป เช่น โรคเอดส์จากเชื้อ HIV ที่มีต้นกำเนิดมาจากลิงสำหรับไข้หวัดหมู พัฒนาการอาจอยู่ในระดับที่ 5 ซึ่งต่อจากนี้จะมีการแพร่ระหว่างคนสู่คน แต่จะมีประสิทธิภาพเพียงใดขึ้นกับการปรับตัวของไข้หวัดหมูในมนุษย์ โดยโรคนี้พบตั้งแต่ ค.ศ.1918-1919 ในช่วงที่ไข้หวัดใหญ่สเปน (Spanish Flu) มีการระบาดครั้งใหญ่ทั่วโลก แต่ผู้เสียชีวิตส่วนมากจะอายุ 20-40 ปี และตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ซึ่งต่างจากไข้หวัดใหญ่ทั่วไป (Seasonal Flu) ที่เล่นงานเด็กเล็กและคนแก่เป็นส่วนมาก แต่คล้ายคลึงกับไข้หวัดหมูที่เราเผชิญอยู่ขณะนี้ ในช่วงนั้นมีการพบไข้หวัดในหมูเช่นกัน (J.S. Koen) และจวบจน ค.ศ.1930 จึงได้มีการแยกเชื้อได้ (Shope และ Davis) ไข้หวัดหมูยังเป็นหมูแท้ๆ อยู่อีก 80 ปี โดยไม่มีลูกผสมเป็น 3 เกลอ (พันธุกรรมหมู นก คน) ดังเช่นปัจจุบัน แต่ถึงกระนั้นก็ก่อให้เกิดโรคในคนอยู่เนืองๆ มากกว่า 50 ราย เช่น ในสหรัฐ 19 ราย เชโกสโลวะเกีย 6 ราย เนเธอร์แลนด์ 4 ราย รัสเซีย 3 ราย แคนาดาและฮ่องกงอีกแห่งละ 1 ราย โดยผู้ป่วย 61% มีประวัติสัมผัสหมูและมีอายุเฉลี่ย 24 ปี หลังจากนั้นใน ค.ศ.1974 ไข้หวัดหมู (ล้วน) มีการพัฒนาโดยเกิดโรคในค่ายทหาร (Fort Dix) ที่รัฐนิวเจอร์ซี่ (New Jersy) มีผู้ป่วย 13 ราย เสียชีวิต 1 ราย โดยที่อีก 230 ราย ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการ หรือมีอาการแต่น้อยมาก ทั้งหมดนี้ไม่มีประวัติสัมผัสหมู ซึ่งแสดงว่าน่าจะมีการพัฒนาจนมีการติดต่อจากคนสู่คน การติดต่อในค่ายทหาร ทำให้มีการฉีดวัคซีนไข้หวัดหมูให้ประชาชนทั่วไป แต่พบว่าช่วงที่มีการฉีดวัคซีนมีผู้ป่วยเส้นประสาทอักเสบแขน ขาอัมพาต ทำให้ต้องล้มเลิกการใช้วัคซีน และข้อมูลสรุปของการเกิดอัมพาตอาจยังคลุมเคลือจนปัจจุบัน ใน ค.ศ.1988 มีผู้หญิงตั้งครรภ์เสียชีวิต โดยมีประวัติสัมผัสหมูในรัฐวิสคอนซิน (Wisconsin) และเริ่มสงสัยว่าไข้หวัดหมูอาจไม่ใช่พันธุ์หมูล้วน (classic H1N1) จวบจน ค.ศ.1998 จึงได้มีการพิสูจน์พบว่า หมูเลี้ยงในสหรัฐ มีไวรัสไข้หวัดหมูกลายพันธุ์ โดยมีพันธุกรรมผสมระหว่างหมู คน และนก เกิดสายพันธุ์ผสม (Triple assortant virus) H3N2, H1N2, และ H1N1 (วารสารโรคติดเชื้อ JID 2008) และสายพันธุ์ผสมนี้ยังพบได้ในเอเชีย และแคนาดาไข้หวัดหมูผสมสายพันธุ์ใหม่ พบได้ในประเทศสเปน (H1N1) เดือนพฤศจิกายน 2008 เป็นหญิงอายุ 50 ปี มีการไข้ ไอ เหนื่อย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คันคอ และคันตา และหนาวสั่น ผู้ป่วยหายเองโดยไม่ต้องการการรักษาใดๆ โดยที่ผู้ป่วยทำงานในฟาร์มหมูและสัมผัสใกล้ชิดหมู ไม่มีคนใกล้ชิดในละแวกมีการติดเชื้อ ข้อสรุป ณ ขณะนั้น ยังไม่คิดว่าไข้หวัดหมูแม้เป็นสายพันธุ์ผสมแล้วจะมีอันตรายมากนัก (Eurosurveillance ฉบับ 19 กุมภาพันธ์ 2009) อย่างไรก็ดี เหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดมาก่อนในรัฐวิสคอนซิน วันที่ 7 ธันวาคม 2005 ชายอายุ 17 ปี มีอาการไข้หวัดใหญ่ แต่หายเองใน 3-4 วัน มีการติดเชื้อไข้หวัดหมูลูกผสม H1N1 โดยผู้ป่วยไม่ได้มีการสัมผัสกับหมูหรือไก่ที่บริเวณบ้าน และในระหว่างช่วงเดียวกันมีรายงานการติดเชื้อลูกผสมในแคนาดาใน ค.ศ.2005 และ 2007เห็นได้ว่าไวรัสไข้หวัดหมูมีการพัฒนาตัวเองมาตลอด แต่สิ่งที่ยากคือ หมูที่ติดเชื้อไม่จำเป็นต้องแสดงอาการเจ็บป่วยก็ถ่ายทอดเชื้อได้ สำหรับหมูในประเทศไทย ขณะนี้แม้จะมีเชื้อลูกผสมวนเวียนและไม่เป็นอันตรายอยู่ก็ตาม แต่ยังคงต้องเกาะติดสถานการณ์อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง

เจ็บ 'ตาปลา' ทำไงดี?

เจ็บ 'ตาปลา' ทำไงดี?

ใครเป็น “ตาปลา” ที่เท้า คงจะรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดทรมานเป็นอย่างดี เพราะกว่าจะรักษาหายต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ แต่ปัญหา คือ ในบางคนรักษาหายแล้ว กลับมาเป็นใหม่ได้อีก หากไม่แก้ไขที่ต้นเหตุ
รศ.พญ.พรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน สาขาตจวิทยา (ผิวหนัง) ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า ตาปลาเป็นก้อนของหนังขี้ไคลซึ่งเกิดจากการเสียดสีของผิวหนังเรื้อรัง พบบ่อยบริเวณฝ่าเท้าซึ่งรับน้ำหนักตัวจึงเกิดอาการเจ็บเวลาเดิน

ทั้งนี้ผิวหนังของคนเราประกอบด้วยชั้นผิวหนังกำพร้ากับชั้นหนังแท้ โดยมีสารเชื่อมให้เกาะกัน เมื่อผิวหนังมีการเสียดสีรุนแรง ผิวหนังกำพร้าแยกเป็นตุ่มน้ำพองใส แต่การเสียดสีเป็นแบบเรื้อรังจะกระตุ้นให้ผิวหนังกำพร้าสร้างหนังขี้ไคลหนาเพิ่มขึ้นกลายเป็นรอยด้านแข็ง พบบ่อยบริเวณด้านข้างของฝ่าเท้าซึ่งมีการเสียดสีกับรองเท้า และในบางจุดหนังขี้ไคลหนาแข็งเป็นก้อนเล็กฐานของก้อนแหลมคล้ายลิ่มจึงเจ็บเมื่อกดลง และเมื่อปาดส่วนบนของก้อนออกจะเห็นหนังขี้ไคลกลมใสคล้ายตาปลาปัญหาหนังฝ่าเท้าด้านและตาปลาพบบ่อยขึ้น เพราะการสวมใส่รองเท้าแฟชั่นซึ่งไม่สอดคล้องกับโครงสร้างของกระดูกเท้า โดยเท้าประกอบด้วยกระดูกขนาดเล็กจำนวนมากเรียงต่อกันเป็นแนว ข้อกระดูกเชื่อมโยงด้วยพังผืดและมีเส้นเอ็นเกาะกระดูกเพื่อบังคับการทรงตัวให้มั่นคง กระดูกเท้ามีหนังฝ่าเท้าห่อหุ้ม ผิวหนังบางส่วนมีการเสียดสีกับวัสดุรองเท้าเรื้อรังจึงหนาด้านขึ้น ถ้ารองเท้าบีบรัดให้การเรียงตัวของกระดูกผิดทิศทางมีการรับน้ำหนักของกระดูกบางชิ้นเพิ่มขึ้นก็จะยิ่งทำให้การเสียดสีเพิ่มมากขึ้น ก้อนหนังที่หนาแข็งของหนังกำพร้าหรือตาปลาจะกดหนีบเนื้อหนังแท้และชั้นไขมันซึ่งมีใยเส้นประสาทกับกระดูกทำให้เจ็บปวดเวลาเดิน
ลักษณะหนังหนาและตาปลา ยังพบได้บริเวณซอกนิ้วนางและนิ้วก้อย ซึ่งมีการเสียดสีของหนังซึ่งทับกันระหว่างซอกนิ้วกับกระดูกนิ้ว นอกจากนี้ยังพบบริเวณฝ่าเท้าระหว่างโคนหัวแม่เท้ากับนิ้วชี้ และฝ่าเท้าบริเวณโคนนิ้วกลางและนิ้วนาง จากการสวมใส่รองเท้าหัวแหลมบีบนิ้วทั้ง 2 ข้างเข้าหากัน หนังฝ่าเท้าจะห่อเข้าหากันเกิดการเสียดสีเรื้อรังเมื่อเดินเป็นก้อนแข็งยาวตามร่องฝ่าเท้า และอาจมีตาปลาตรงกลางก้อนแข็ง
ด้านบนของหลังเท้าบริเวณนิ้วนางก็พบตาปลาบ่อยเนื่องจากการสวมรองเท้าหัวแบน ผิวหนังบริเวณดังกล่าวเสียดสีกับรองเท้าซึ่งหุ้มหลังเท้า ส่วนผิวหนังหนาด้านข้างฝ่าเท้าบริเวณหัวแม่เท้าและนิ้วก้อย มักเกิดจากการสวมรองเท้าหลวมเกินไป

ผู้ป่วยสามารถวินิจฉัยตาปลาได้เอง โดยตาปลาส่วนใหญ่จะเป็นทั้ง 2 เท้า แต่ก้อนเจ็บบริเวณฝ่าเท้าคล้ายตาปลาอาจเป็นโรคหูดจากไวรัส เอชพีวีได้ โดยไวรัสจะกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังแบ่งตัวเพิ่มขึ้นเป็นก้อนในชั้นหนังกำพร้า แต่มีข้อแตกต่าง คือ หูดมักเป็นเท้าเดียวและเจ็บมากถ้าบีบก้อนทางด้านข้างเข้าหากัน ส่วนตาปลามักเจ็บมากเมื่อกดลง และเมื่อปาดผิวหูดออก เนื้อหูดเป็นเส้นสีขาวอัดแน่น หรือถ้าตัดลงลึกจะมีเลือดออกเพราะหูดเป็นเนื้องอกของหนังกำพร้ามีเซลล์ผิวหนังในชั้นหนังกำพร้าหนาขึ้น และมีหลอดเลือดเพิ่มมากขึ้น แต่ตาปลามีเฉพาะผิวหนังขี้ไคลหนาเท่านั้น
ตาปลาจะหายขาดต้องรักษาที่ต้นเหตุ ว่าเป็นจากความผิดปกติของกระดูก หรือการสวมรองเท้าไม่เหมาะสม แต่การผ่าตัดแก้ไขกระดูกยุ่งยากมาก จึงนิยมรักษาตามอาการ เช่น ขูดหรือเฉือนส่วนแข็งออก ใช้ยากัดหูดซึ่งประกอบด้วยกรดซาลิซิลิคหรือกรดแลคติก นอกจากนี้การแก้ไขรองเท้าเพื่อลดการเสียดสี และการใช้อุปกรณ์เสริมวางบนเท้าหรือรองเท้าเพื่อกระจายน้ำหนักหรือลดการเสียดสีจะช่วยทุเลาอาการ เช่น บริเวณพื้นรองเท้าอาจตัดแผ่นรองใต้ฝ่าเท้าให้เป็นหลุมเพื่อลดการกดทับเมื่อเดิน.

ผลกระทบของแอลกอฮอล์ ที่ไหลผ่านอวัยวะในร่างกาย


ผลกระทบของแอลกอฮอล์ ที่ไหลผ่านอวัยวะในร่างกาย

1. ปากและลำคอ เหล้าจะไประคายเคืองชิ้นเยื่อบุที่ละเอียดอ่อนในปากและหลอดอาหาร มักจะร้อนซู่เมื่อผ่านลงไป
2. กระเพาะอาหารและลำไส้ เหล้านั้นจะไปมีผลกับผนังชั้นนอกสุดที่เป็นชั้นที่จะปกป้องกระเพาะอาหาร จะทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ ถ้าอาการเช่นนี้เกิดอย่างเฉียบพลัน เกิดการอักเสบของเยื่อบุชั้นในสุดของผนังกระเพาะหรืออาจทะลุได้ ในลำไส้เล็ก เหล้าจะไปเป็นอุปสรรคกับการดูดซึมของสารอาหารบางชนิด เช่น ไขมัน วิตามินบี 6, 12 เป็นต้น
3. กระแสเลือด 95% ของเหล้าที่ดื่มเข้าไปในร่างกาย จะซึมเข้ากระแสเลือด โดยผ่านเยื่อบุในกระเพาะ และลำไส้อย่างรวดเร็ว เมื่อถึงกระแสเลือดมันจะเข้าไปในเซลล์และตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกายอย่างรวดเร็วเช่นกัน แอลกอฮอล์ทำให้เซลล์ของเลือดเกาะเป็นก้อนเหนียว ทำให้การไหลเวียนช้าลง ออกซิเจนน้อยลงด้วย เหล้าทำให้โลหิตจางด้วย โดยที่มันจะไปลดการสร้างเม็ดเลือดแดง และยังไปทำให้ความสามารถของเม็ดเลือดขาวในการกลืนตัวเชื้อและการทำลายแบคทีเรียช้าลง การทำให้การแข็งตัวของเกล็ดเลือดช้าลงด้วย
4. ตับอ่อน แอลกอฮอล์จะทำให้เซลล์ของตับอ่อนระคายเคือง เซลล์บวมขึ้น เหล้าทำให้การไหลของน้ำย่อยไม่คล่องตัว สารเคมีไม่สามารถที่จะเข้าไปในลำไส้เล็กได้ ทำให้มันย่อยตัวตับอ่อนเอง ทำให้ เกิดเลือดออกอย่างเฉียบพลันและการอักเสบของตับอ่อน พบว่า 1/5 จะเสียชีวิตไปในครั้งแรก เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับตับอ่อนนี้ทำให้การสร้างอินซูลินขาดหายไป และทำให้เป็นเบาหวาน
5. ตับ แอลกอฮอล์มีอิทธิพลกับเซลล์ของตับ ทำให้เกิดการบวมและไปทางเดินน้ำดีเล็กๆ ที่จะเป็นทางไปสู่ลำไส้เล็ก ทำให้น้ำดีซึมผ่านไปทั่วตับ ทำให้ตัวเหลืองตามส่วนขอบของตาและผิวหนังเป็นสีเหลือง ทุกครั้งที่ดื่มนั้นเซลล์ของตับจะถูกทำลายในที่สุดทำให้ตับแข็ง การเสี่ยงต่อการเป็นโรคตับมีถึง 8 เท่า เมื่อเทียบกับความปกติ
6. หัวใจ แอลกอฮอล์ทำให้กล้ามเนื้อของหัวใจบวมขึ้น ทำให้เกิดเป็นพิษกับหัวใจเป็นเหตุทำให้การสะสมของไขมันมากขึ้น และทำให้การเผาผลาญช้าตามไปด้วย
7. กระเพาะปัสสาวะและไต แอลกอฮอล์ทำให้เยื่อบุของกระเพาะปัสสาวะบวมขึ้น ทำให้ไม่สามารถยืดตามปกติได้ในไต การระคายเคืองทำให้การสูญเสียน้ำมากขึ้น
8. สมอง อวัยวะที่แอลกอฮอล์ลุกลามจะไปมีบทบาทและเห็นผลได้ชัด คือ สมอง มันจะไปกดศูนย์กลางของสมอง ทำให้การประสนงานเสื่อมลงเรื่อยๆ สับสน จำความไม่ได้ เซื่องซึม ชา หรือสลบ โคม่าและตายได้ มันจะไปฆ่าเซลล์ของสมอง เมื่อเซลล์สมองถูกทำลายแล้วจะสร้างขึ้นใหม่ไม่ได้ การดื่มเป็นประจำระยะหนึ่งจะทำให้ความจำ การตัดสินใจและความสามารถในการเรียนรู้เสื่อมไป
นอกจากนี้แอลกอฮอล์ที่ไหลผ่านอวัยวะของร่างกายนั้นจะมีกรดที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายเมื่อดื่มเข้าไปอีกด้วย

วิธีแก้เมื่อลืมกินยาตามเวลา


วิธีแก้เมื่อลืมกินยาตามเวลา


ใครเคยลืมกินยาตามเวลาบ้าง วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีแก้มาบอกเพราะยาบางตัวอาจออกฤทธิ์ไม่เหมือนกัน….
ถ้าลืมกิน…ยาก่อนอาหาร
วิธีแก้ : ยาจำพวกนี้จะดูดซึมได้ดีขณะที่ห้องว่าง ดังนั้นหากลืมกินก่อนอาหารให้กินหลังอาหารอีกทีเมื่อเวลาผ่านไปแล้ว 2 ชั่วโมง กระเพาะจะใช้เวลาในการย่อยอาหารประมาณ 2 ชั่วโมง
หลักการที่ถูก : ควรกินก่อนอาหาร ประมาณ 30-60 นาที
ถ้าลืมกิน…ยาหลังอาหาร
วิธีแก้ : รีบกินทันทีที่นึกได้ แต่หากเลยหลังอาหารไปแล้ว 2 ชั่วโมง ให้หาของว่างรองท้อง แล้วกินยามื้อที่ลืม แต่ถ้าใกล้เวลากินมื้อต่อไปแล้ว ให้ข้ามมื้อที่ลืมไปเลย ไม่ควรกินยาเป็น 2 เท่า เด็ดขาด!
หลักการที่ถูก : ควรรับประทานหลังอาหาร ประมาณ 15-20 นาที
ถ้าลืมกิน…ยาหลังอาหารทันที/ยากินพร้อมอาหาร
วิธีแก้ : ยาประเภทนี้มีฤทธิ์กัดกระเพาะ อาจทำให้ท้องอืดแน่นหรือคลื่นไส้อาเจียน ถ้ากินตอนท้องว่าง ดังนั้นควรทำเหมือนกรณีลืมกินยาหลังอาหารทุกประการ
หลักการที่ถูก : ควรกินทันทีหลังอาหารคำสุดท้าย
ถ้าลืมกิน…ยาก่อนนอน
วิธีแก้ : ลืมแล้วก็ปล่อยให้ลืมไป ไม่ต้องกินซ้ำอีกครั้งในตอนเช้า หรือตามไปกินซ้ำ 2 เท่า ในช่วงก่อนเข้านอนของอีกวัน
หลักการที่ถูก : กินแล้วควรเข้านอนทันที (ยาประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นยาคลายประสาท ทำให้ง่วงนอน จึงอาจเกิดอุบัติเหตุได้ถ้าไม่อยู่เป็นที่เป็นทาง)
ครั้งหน้าถ้าลืมกินยาเมื่อไหร่ อย่าลืมนำวิธีแก้ที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้

ทำความรู้จัก โรคภูมิแพ้



เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาว
มีคนไม่น้อยที่ผจญกับอาการภูมิแพ้ แต่มีเพียงไม่มากที่รักษาอย่างจริงจัง มารู้จักและรู้วิธีอยู่ร่วมกับ “ภูมิแพ้”
น้ำฝน ยิ้มหน้าบานทันทีที่เห็นแฟนหนุ่มหอบดอกไม้ช่อโตมาเซอร์ไพรส์ถึงออฟฟิศ คงเป็นอย่างที่นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมว่าไว้ “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” เพราะเพื่อนสาวที่นั่งโต๊ะข้างๆ ออกอาการฟึดฟัด หน้าตาแดงก่ำ น้ำหูน้ำตาไหล ให้เห็นต่อหน้าต่อตา ไม่ใช่อิจฉาหรอกนะ แต่เธอแพ้เกสรดอกไม้ต่างหาก แสดงอาการคนขี้แพ้ตั้งแต่ชายหนุ่มยังไม่เดินออกมาจากลิฟต์

“ภูมิแพ้เป็นมหันตภัยที่อาจเกิดกับคนใกล้ตัว ใน 5 คนจะพบคนเป็นภูมิแพ้ถึง 2 คน ถือว่าชุกชุมพอสมควร” รศ.พญ.จรุงจิตร์ งามไพบูลย์ จากภาควิชากุมารเวช คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กำลังจะมาบอกวิธีเอาชนะให้คนขี้แพ้

อาการแสดงออกของโรคภูมิแพ้ที่พบมากคือ หอบหืด เกิดจากการได้รับสารก่อภูมิแพ้บางชนิดเข้าไปทางหลอดลม และคนที่ร่างกายรับรู้สิ่งแปลกปลอมได้เร็วกว่าปกติ ร่างกายจะกระตุ้นภูมิคุ้มกันฟูมฟายออกมาต่อต้านสารดังกล่าว และเกิดการอักเสบ มีเสมหะ น้ำมูก และน้ำเหลือง บริเวณหลอดลม ทำให้หายใจลำบาก

โรคภูมิแพ้จะถูกแบ่งตามอาการที่เกิดขึ้นกับอวัยวะ เช่น โพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้อากาศ หอบหืด โรคภูมิแพ้ผิวหนัง รวมถึงปฏิกิริยาแพ้รุนแรงที่เกิดจากการแพ้ยา แมลงกัดต่อย และแพ้อาหารบางชนิด ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นโรคที่เข้าข่ายภูมิแพ้ทั้งสิ้น อาการของโรคภูมิแพ้มีตั้งแต่ ไอ จาม หอบหืด ไปจนถึงหลอดลมอุดตัน และเสียชีวิตก็มี

คนที่ดูภาพยนตร์เรื่องเดอะ ดาวินชี โค้ด อาจงงตอนใกล้จบเรื่องที่ผู้ร้ายสมรู้ร่วมคิดคนหนึ่งหยิบเหล้ามาดื่มแล้วชักดิ้นชักงอ แต่ผู้ร้ายตัวจริงกลับดื่มแล้วไม่เป็นไร เหล้าน่ะไม่มียาพิษหรอก แต่ผู้ร้ายที่กระดกเหล้าแล้วตายแหงแก๋ เป็นเพราะเขาแพ้เนยถั่วอย่างแรง เหล้ากระปุกนั้นใส่ถั่วไว้ (รสชาติคงพิลึก) บางคนแพ้ช็อกโกแลต เลยอดลิ้มรสชาติแสนอร่อยของขนมหวานมหัศจรรย์ บางคนแพ้กุ้งแพ้ปูก็น่าสงสาร ของอร่อยทั้งนั้น บ้างก็แพ้หอมหัวใหญ่ เพราะฉะนั้นถ้ารู้ตัวว่าแพ้อะไรยิ่งต้องระวังให้ดี

ผู้ป่วยที่เสียชีวิตด้วยโรคภูมิแพ้ส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ สาเหตุหลักมาจากความประมาท ไม่ดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากปัจจัยก่อภูมิแพ้ รวมถึงกรณีที่ใช้ยาพ่น ขยายหลอดลมในยามคับขันไม่ถูกวิธี ทำให้ยาไม่ลงไปถึงหลอดลม และเสียชีวิตในที่สุด

“ปัจจุบันการเสียชีวิตจากอาการภูมิแพ้จะลดลงมาก เนื่องจากมียาช่วยชีวิตไว้ทันเวลา แต่โรคนี้ก็ยังไม่หมดไป และยังคงความรุนแรงจนถึงขั้นทำให้เสียชีวิตอยู่เหมือนเดิม หรือเป็นเจ้าชายนิทรา เนื่องจากไม่ดูแลตัวเอง ไม่กินยา แถมบางคนยังคงสูบบุหรี่จัด” ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้กล่าว

ปัจจัยที่ทำให้เกิดสารก่อภูมิแพ้ติดอันดับหนึ่งคือ ไรฝุ่น ที่พบมากในที่นอน รองลงมาเป็นภูมิแพ้จากแมลงสาบ ขนสัตว์ ไปจนถึงละอองเกสรและดอกหญ้า ซึ่งล้วนกระตุ้นอาการแพ้ได้เช่นกัน คนที่เป็นโรคภูมิแพ้ จะรับรู้สิ่งแปลกปลอมได้ไวกว่าปกติ หรือที่เรียกว่า จมูกไว ไม่ว่าจะอากาศเปลี่ยน ฝนตก ได้กลิ่นควันบุหรี่ กลิ่นดอกไม้ ก็จะสามารถรับรู้ได้ไวกว่าคนปกติ อาการเริ่มต้นที่แสดงออก คือ ไอ ซึ่งเป็นอาการนำของการจับหืด เมื่อลองเงี่ยหูฟังจะได้ยินเสียงวี้ด ขณะหายใจ เกิดจากหลอดลมถูกบีบรัด เนื่องจากมีเสมหะสะสมอยู่โดยไม่ทันตั้งตัว อาการดังกล่าวจะหายไปได้หากใช้ยาพ่นขยายหลอดลม

“อาการหอบหืดจากภูมิแพ้เกิดขึ้นได้เมื่ออากาศเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเวลากลางคืนที่มีโอกาสสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ใกล้ตัว คือที่นอน นอกจากนี้ความกังวล อาการเครียด บางครั้งในเด็กที่หัวเราะมากๆ วิ่งเล่นมากๆ ก็พบเห็นอาการหอบหืดเช่นกัน” คุณหมอกล่าว

แม้การออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน แต่ในกรณีของผู้ป่วยหอบหืด และยังไม่ได้รับการรักษา การออกกำลังกายเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อาการกำเริบได้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่เลือกที่จะซื้อยากินและยาพ่นมาใช้เอง โดยไม่ปรึกษาแพทย์ก่อน ทำให้มีโอกาสเสี่ยงสูงต่อชีวิต ขณะที่อาการจับหืดกำเริบรุนแรง หากใช้ยาไม่ถูกวิธี
หากผู้ป่วยสงสัยว่าตนเองเข้าข่ายโรคภูมิแพ้ โดยเฉพาะในเด็ก ควรรีบมาพบแพทย์ เพื่อซักถามประวัติ และหาสาเหตุของสารระคายเคืองชนิดที่แพ้ ซึ่งแพทย์จะตรวจเลือด เอกซเรย์ปอด และทดสอบผิวหนัง (skin test) หรือทดสอบหยดสารระคายเคืองชนิดต่างๆ ลงบนผิวหนัง เพื่อสังเกตอาการที่เกิดขึ้น เช่น ตุ่มแดง หรือผื่นคัน ซึ่งจะช่วยบอกผู้ป่วยได้ว่าแพ้อะไร และควรจะดูแลตัวเองอย่างไรให้ห่างไกลจากสารก่อภูมิแพ้
คนที่โพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้พร้อมกับอาการหอบหืด โดยจากสถิติพบเกิดอาการร่วมกันประมาณ 50-80% จำเป็นต้องรักษา 2 อาการไปพร้อมกัน ที่ผ่านมา คนไทยสนใจรักษาตัวเองจากโรคภูมิแพ้น้อย บ้างอ้างว่าไม่มีเวลา ทำให้การรักษาไม่ได้ผลเท่าไหร่ จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมจึงยังมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้อยู่บ่อยครั้ง

แพทย์หญิงจรุงจิตร์กล่าวและเตือนด้วยว่า การซื้อยามาพ่นเองเป็นประจำ อาจทำให้เกิดการใช้ยาเกินความจำเป็น และดื้อยาในที่สุด ยาสเตรียรอยด์บางชนิดหากใช้มากเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโต และความคิดตัดสินใจได้เช่นกัน
ปัจจุบันแพทย์สนับสนุนให้ผู้ป่วยใช้ยา 2 ชนิดร่วมกันเพื่อลดการใช้สเตรียรอยด์